Wednesday, 23 July 2014

ประโยชน์ของพระคัมภีร์

เขียนโดย ศจ. ดร. เสรี หล่อกัณภัย  

ข้อพระคัมภีร์ กิจการ 8:26-40  นักธุรกิจหญิงคนหนึ่งที่จำเป็นต้องโดยสารเครื่องบินอยู่เสมอ มักจะระงับความกลัวการเดินทางด้วยเครื่องบินโดยการนำพระคัมภีร์ติดตัวไปด้วยเสมอ
ครั้งหนึ่งเธอได้นั่งติดกับผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อเขาเห็นเธอหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา ก็หัวเราะและยิ้มและหันกลับไปทำสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ สักพักหนึ่งผู้ชายคนนั้นก็หันมาพูดกับเธอว่า “คุณไม่ได้เชื่อเรื่องต่างๆ ที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นใช่ไหม?" นักธุรกิจหญิงตอบว่า “ฉันเชื่อทุกอย่าง เพราะนี่คือพระคัมภีร์” ชายคนนั้นถามต่อว่า “แล้วเรื่องของผู้ชายที่ถูกปลาวาฬกลืนเขาไปด้วยหรือ?” เธอตอบว่า “อ๋อ โยนาห์หรือ แน่นอน ฉันเชื่อเรื่องนี้ เพราะมันอยู่ในพระคัมภีร์นี้” เขาถามต่อว่า “แล้วคุณคิดว่าเขารอดอยู่ในท้องปลาตลอดเวลานั้นได้อย่างไร?”นักธุรกิจหญิงตอบว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันคงจะต้องถามโยนาห์เมื่อฉันไปสวรรค์ ชายคนนั้นถามอย่างเยาะๆ ว่า “ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในสวรรค์ละ?” ผู้หญิงนั้นตอบว่า “คุณก็ไปถามเขาเองซิ” ผมหวังว่าผู้ชายกับนักธุรกิจหญิงนี้ จะสนทนาต่อไปจนกระทั่งผู้ชายคนนี้รับเชื่อ แต่น่าเสียดายที่เรื่องนี้จบเพียงแค่นี้ ผู้หญิงคนนี้ใช้พระคัมภีร์เพื่อช่วยให้เธอพ้นจากความวิตกกังวล และเชื่อทุกอย่างที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แต่ก็ไม่ได้พยายามเข้าใจความหมายในพระคัมภีร์ส่วนผู้ชายคนนี้ถึงแม้ไม่ใช่เป็นคริสเตียนหรือผู้เชื่อ ก็อ่านพระคัมภีร์เหมือนกัน แต่อ่านเพื่อจับผิดพระคัมภีร์มีไว้สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนและไม่เป็นคริสเตียนอ่าน 

      เนื้อหาในพระธรรมกิจการ 8:26-30 ได้บันทึกเรื่องราวของวันที่ชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ได้รับความรอดผ่านการอ่านพระคัมภีร์ที่ถูกแปลจากภาษาฮีบรูเป็นภาษากรีกและได้รับการอธิบายจากคริสเตียนยิวนิยมกรีก ซึ่งเชื่อฟังคำสั่งของทูตของพระเจ้าให้ลุกขึ้นเดินทางไปตามทางเปล่าเปลี่ยวและทำตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าเราจะพิจารณารายละเอียดของเรื่องนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจที่เราควรให้ความสนใจ ประการแรก พระคัมภีร์ที่ขันทีอ่านไม่ใช่เป็นภาษาฮีบรู แต่เป็นภาษากรีกที่ถูกแปลมาจากภาษาฮีบรูเรียกว่าเซปทัวจินต์ ซึ่งทำให้คนยิวที่ไม่รู้จักภาษาฮีบรูอ่านได้ และคนต่างชาติก็สามารถอ่านได้การแปลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้พระวจนะของพระเจ้าแพร่หลายไป ถ้าเราจะสังเกตข้อความที่ปรากฏในกิจการ 8:32-33 กับ อิสยาห์ 53:7-8 ก็จะพบว่ามีเนื้อความที่แตกต่างกัน แต่ความหมายยังเหมือนกัน ถ้าเป็นพวกชอบจับผิดมาอ่านก็จะบอกว่าพระคัมภีร์ไม่น่าเชื่อถือ เพราะเขียนไม่ตรงกัน แต่เราจะพบว่าทฤษฎีการแปลมีอยู่ 2 ทฤษฎีใหญ่ๆ คือ แปลโดยการรักษารูปแบบ และ การแปลโดยการถอดความหมาย และการแปลของฉบับเซปทัวจินต์จะเน้นการแปลแบบถอดความ ถึงแม้ข้อความที่ถูกแปลออกมาแล้วนั้นจะเข้าใจง่ายขึ้น แต่ก็ยังต้องการคนที่มีความเข้าใจทางจิตวิญญาณมาอธิบายให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น คริสเตียนควรตั้งใจศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของพระคัมภีร์ให้มากขึ้น เพื่อที่จะสามารถอธิบายให้คนอื่นเกิดความเข้าใจ อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะค้นคว้าจากฉบับศึกษาที่สมาคมได้จัดพิมพ์ขึ้นมา ประการที่สอง ผู้ที่อธิบายพระคัมภีร์ให้กับขันทีคือฟีลิป ท่านไม่ใช่เป็นอัครทูต แต่เป็นผู้ที่อัครสาวกบอกให้คริสเตียนในยุคแรกเลือกขึ้นมาทำหน้าที่แจกอาหารให้กับพวกแม่ม่าย ตำแหน่งของท่านอาจจะเทียบได้กับมัคนายกในปัจจุบัน หรือเป็นคริสเตียนที่ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ แต่ท่านก็เป็นคนที่ประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา และมีใจรักการประกาศ การอธิบายความหมายของพระคัมภีร์จึงไม่ได้จำกัดอยู่กับ นักเทศน์ หรือผู้สอนที่อยู่ในโบสถ์หรือโรงเรียนพระคัมภีร์เท่านั้น ประการที่สาม เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นโดยการทรงนำของพระเจ้า

      ในข้อ 26 ได้บันทึกว่า “แต่ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตร้สสั่งฟีลิป” ถึงแม้ทูตของพระเจ้าจะไม่ได้บอกรายละเอียดว่า จะให้ฟีลิปทำอะไร แต่ฟีลิปก็ยินดีทำตาม ไปที่เปลี่ยวที่ไม่รู้ว่าจะไปเจออะไร การทรงนำของพระเจ้าในชีวิตของเราอาจจะไม่มีรายละเอียดมาก แต่ขอให้เราไวต่อการทรงนำของพระองค์ และรอคอยดูว่าพระองค์จะนำเราต่อไปอย่างไร ประการที่สี่ เมื่อเราเชื่อฟังพระเจ้าก้าวแรกแล้ว เราก็ควรตั้งใจฟังการทรงนำของพระเจ้าในก้าวต่อไปเมื่อมาถึงที่เปลี่ยวพระวิญญาณก็ตรัสสั่งฟีลิปให้เข้าไปใกล้รถม้า ขอให้เราสังเกตว่าผู้ที่สั่งในครั้งนี้ไม่ใช่ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เป็นพระวิญญาณ และเมื่อฟีลิปเข้าไปใกล้รถม้าแล้ว ฟีลิปก็ไม่ต้องรอรับคำสั่งอีกแล้ว ท่านรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป โดยท่านใช้สามัญสำนึกที่ท่านมีอยู่ คริสเตียนไม่ต้องคอยให้พระเจ้าบอกเราทุกเรื่อง ถ้าเราคุ้นเคยกับพระองค์ เราจะคุ้นเคยกับพระองค์ได้ด้วยการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ สรุป เราจะเห็นว่าการที่ขันทีผู้มีความรู้ มีความสามารถเป็นข้าราชการมีตำแหน่งสูงถึงขั้นเป็นรัฐมนตรีคลังได้รับความรอดเพราะ
1. ได้อ่านพระคัมภีร์ฉบับที่ผ่านการแปลมา
2. ได้รับฟังคำอธิบายจากฟีลิปที่เป็นคริสเตียน
3. ทูตของพระเจ้า
4. พระวิญญาณ ในประเทศไทยขณะนี้มีคนแบบขันทีอยู่อีกจำนวนมาก ทูตของพระเจ้าก็ยังทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์อย่างไม่หยุดยั้ง พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงทำการเคลื่อนไหวอยู่ แต่ที่ประเทศไทยยังขาดอยู่คือขาดฟีลิปที่ตั้งใจที่เข้าใจพระคัมภีร์ เพื่อไปอธิบายเรื่องราวในพระคัมภีร์ให้คนอื่นเข้าใจ



http://www.thaibible.or.th/index.php?option=com_content&task=view&id=158&Itemid=57

No comments:

Post a Comment